เริ่มจากการฟัง
กิจกรรมดนตรีบำบัดประเภท “ฟัง” ภาษาอังกฤษเรียกว่า recetipve music therapy เป็นรูปแบบดนตรีบำบัดที่ถือได้ว่าเก่าแก่ที่สุดและเวลาคนส่วนใหญ่คิดถึงดนตรีบำบัดก็จะนึกถึงการฟังเพลงกันก่อน แต่ทีนี้คนก็จะคิดก่อนเลยว่าคือการฟังเพลง เสียงนก เสียงไม้ เสียงน้ำไหล หรือพวก relaxing music ที่หน้าปกอัลบั้มชอบเป็นรูปท้องฟ้าหรือรูปทะเลอะไรพวกนั้น คือเพลงเพื่อการผ่อนคลายพวกนั้นที่จริงก็เป็นแค่ “เครื่องมือ” ของนักดนตรีบำบัดไว้ใช้เวลาทำงานเท่านั้น ตัวเพลงมันเองมันไม่ได้จัดว่าเป็นดนตรีเพื่อการบำบัด ใช้ไม่ได้ผลกับทุกคนไม่เหมือนยาพาราฯ ไว้กินแก้ปวดหัว ถ้าคนที่ไม่รู้จักใช้ “เครื่องมือ” พวกนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับที่เราเปิดเพลงฟังในชีวิตประจำวัน แบบนี้ใคร ๆ ก็ทำได้ และการฟังในดนตรีบำบัดไม่จำกัดแค่ว่าเปิดเพลงจาก spotify apple music หรือ youtube แค่นั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงการที่นักดนตรีบำบัดเล่นดนตรีให้คนไข้ฟังอีกด้วย เช่น การอิมโพรไวส์บนเครื่องดนตรีที่คนไข้ชอบ การเล่นเพลงที่คนไข้รู้จักอยู่แล้ว หรือการใช้เทคนิคที่เรียกว่าการทำ sound journey ด้วยเครื่องดนตรี่ชนิดต่าง ๆ เช่น monochord, singin bowl, oceandrum, rain maker, gong เป็นต้น เทคนิคหลักของกิจกรรมการฟังนี้คือ Bonny methode of guided imagery music therapy หรือสั้น ๆ ว่า GIM ซึ่งนักดนตรีบำบัดที่จะใช้วิธีการนี้ได้ต้องผ่านหลักสูตรอบรมเสียก่อน ไม่ใช่แค่มานั่งเรียนสองสามชั่วโมงแล้วร้อนวิชามาเปิดของตัวเอง จะโดนเจ้าของลิขสิทธ์เขาฟ้องได้นะ
การฟังในดนตรีบำบัดนั้นจัดว่าเป็นการฟังแบบมีจุดประสงค์และมีการควบคุมดูแลโดยนักดนตรีบำบัด จุดประสงค์โดยทั่วไปในการฟังเพลงในดนตรีบำบัดแบบง่ายที่สุดคือเพื่อการ “ผ่อนคลาย” ทีนี้หลายคนก็จะแย้งว่าแบบนี้ฟังเพลงเองอยู่บ้านก็ผ่อนคลายได้เหมือนกันจะต้องมาเสียเงินทำดนตรีบำบัดทำไม ขอทำความเข้าใจกันก่อนว่า การผ่อนคลายในทางบำบัดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบำบัด คือนักบำบัดไม่ได้แค่จะให้คนไข้นอนชิว ๆ ฟังเพลงเสร็จแล้วกลับบ้าน แต่เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของคนไข้เองก่อนที่จะเจอกับกระบวนการบำบัดแบบหนัก ๆ ในขั้นต่อไป การทำแบบฝึกหัดเพื่อการผ่อนคลายนี่จะใช้กับคนที่เป็น Posttraumatic stress disorder (PTSD), คนที่ปัญหาความเครียดสะสมจนนำไปสู่อาการเจ็บปวดต่าง ๆ ทางร่างกาย, ผู้ป่วย Anxeity หรือผู้ที่มีอาการที่เรียกว่า Burnout หรือพวกบ้างานทำงานหามรุ่งหามค่ำจนร่างกายและจิตใจอ่อนล้า นอกจากนี้กิจกรรมการฟังยังใช้มากในการทำงานใน Hospice และ Palliative care
นอกจากการฟังเพื่อการผ่อนคลายแล้ว เรายังใช้กิจกรรมการฟังเพลงเพื่อการแก้ปมทางจิตใจหรือปมปัญหาในอดีต การฟังประเภทนี้สำคัญมากที่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของนักดนตรีบำบัดเพราะต้องมีการใช้เทคนิคทางด้านจิตวิทยาและจิตบำบัดรูปแบบต่าง ๆ มาใช้กับคนไข้ เพื่อให้จิตใต้สำนึกของเขาค่อย ๆ ปลดล๊อคซึ่งจะทำให้ตัวคนไข้เริ่มมองเห็นสาเหตุที่เป็นต้นตอของปัญหาที่แท้จริงได้ และการฟังเพื่อจุดประสงค์แบบนี้นั้นบางทีคนไข้ฟังเพลงอยู่ดี ๆ ก็จะร้องไห้ฟูมฟายออกมา หรือแบบหนัก ๆ หน่อยที่เคยเห็นตอนทำ sound trance คือคนไข้ก็จะเหมือนเพ้อ ๆ ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ถ้าเป็นคนไทยก็จะเรียกว่า “ผีเข้า” หรือ “เจ้าเข้า” อะไรประมาณนั้น
การทำ song analysis หรือการนั่งฟังเพลงแล้วพิจารณา วิเคราะห์เนื้อเพลงและความหมายไปด้วยก็ถือเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่มีประโยชน์มากที่ช่วยให้คนไข้ได้เรียนรู้มุมมองใหม่ที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเพลงต่าง ๆ
ต่อด้วยการเล่น
กิจกรรมการเล่นดนตรีหรือเรียกแบบฝรั่งว่า active music therapy คือการให้คนไข้เล่นเครื่องดนตรีโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ทางดนตรีอะไรเลย เป็นลักษณะแบบ free improvisation แต่คำว่า improvisation หรือการอิมโพรไวส์ในที่นี้ก็ไม่ใช่แบบที่เรารู้จักกันแบบดนตรีแจ๊สอะไรแบบนั้นที่ยังอิงอยู่บนทฤษฎีดนตรีและความสวยงามทางศิลปะอยู่ การอิมโพรไวส์ในดนตรีบำบัดนี้ดูเผิน ๆ ก็อาจจะเป็นแค่การให้คนที่ไม่เคยเล่นเครื่องดนตรีอะไรมาก่อนมาเล่นดนตรีด้วยกันแล้วมันจะฟังเป็นเพลงได้ยังไง จุดประสงค์ของการ “เล่นดนตรี” ในทางบำบัดเราจะไม่คำนึงถึงความไพเราะหรือความถูกต้องในทางไวยากรณ์ดนตรี ส่วนหนึ่งก็เพื่อไม่ให้คนไข้รู้สึกเหมือนถูกจับผิดหรือรู้สึกถูกกดดันด้วยความไม่รู้ของตัวเอง การใช้เครื่องดนตรีและองค์ประกอบพื้นฐานของดนตรีอันได้แก่ จังหวะ เสียง ทำนอง ระดับเสียงและรูปแบบ เป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่เราใช้แทนภาษาพูด เพื่อให้คนไข้ได้เปิดมุมมองในอีกด้านเกี่ยวกับปัญหา ปมขัดแย้งของตัวเอง หรือแม้แต่การรับรู้ตัวตนในอีกมิติหนึ่ง จะพูดให้กระชับและเข้าใจง่ายก็คือ การใช้ดนตรีแทนภาษาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปของคน ๆนั้นหรือแทนที่จะทำให้คนไข้มองเห็นตัวเองก็เป็นให้คนได้ได้ยินตัวเองแทน ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยว่าเขาทำอะไรกันยังไงจะขอยกไว้เล่าทีหลัง ไม่งั้นบทความจะยาวเกินจนกลายเป็นสารานุกรมไปซะก่อน
นอกจากการเล่นเครือ่งดนตรีแล้วการแต่งเพลง (Composition) ก็ถือเป็นกิจกรรมประเภทเล่นในดนตรีบำบัดได้เช่นกัน กิจกรรมประเภทนนี้นักดนตรีบบำบัดจะช่วยให้คนไข้แต่งหรือสร้างบทเพลงของตัวเองทซึ่งจะมีหรือไม่มีเนื้อเพลงก็ได้ จะมีการพูดคุยถึงเป้าหมาย รายละเอียดของเนื้อหาในบทเพลง ประเภทของเพลงที่จะแต่ง เครื่องดนตรีที่ใช้ และรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ ซึ่งการสร้างสรรค์เพลงเหล่านี้นักดนตรีบำบัดอาจจะบันทึกเสียงไว้เพื่อให้คนไข้นำไปใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนการบำบัด
สิ่งที่ทำให้การเล่นดนตรีในดนตรีบำบัดอีกอย่างที่ทำให้ต่างจากการเรียนดนตรีหรือการนั่งดีด ukulele ร้องเพลงเองอยู่ที่บ้านคือการเล่นดนตรีของดนตรีบำบัดไม่ได้ทำเพื่อการผ่อนคลายหรือเพื่อความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว แน่นอนว่านักดนตรีบำบัดต้องทำให้คนไข้รู้สึกสนุกและมีอารมณ์ร่วมในการเล่นดนตรีด้วยกัน แต่เป้าหมายเราไม่ได้อยู่แค่นั้น หลังจากที่เริ่มรู้สึกดีกับการเล่นดนตรีโดยที่ไม่ต้องมานั่งซ้อมแล้วถึงจะเป็นกระบวนการเริ่มการปรับเปลี่ยน ดัดแปลงพฤติกรรม ความคิดของคนไข้ให้คนไข้สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันในแบบของเขาเองได้อย่างปกติ
การแบ่งดนตรีบำบัดตามกิจกรรมการเล่นและฟังนั้นเป็นรูปแบบที่ใช้ทั่วไปในยุโรป ถ้าเป็นอเมริกาเขาจะนิยมแยกเป็น Approach มากกว่าว่าเป็นดนตรีบำบัดกับกลุ่มประชากรประเภทไหน อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบนะ ไม่ได้หมายความว่าของใครดีกว่าของใคร อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Music_therapy
http://de.wikipedia.org/wiki/Musiktherapie
0 ความคิดเห็น